top of page

วันแรก กรุงเทพฯ (ไทย)

22.00 น. พร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 9 แถว T สายการบินเอมิเรตส์ (EK) เจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวก

วันที่สอง ดูไบ-เวนิส-จัตุรัสซานมาร์โค-มาสเตร (ยูเออี-อิตาลี)

01.15 น. ออกเดินทางสู่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK 385 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน)

04.45 น. ถึงสนามบินเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แวะเปลี่ยนเครื่อง  

09.05 น. เดินทางสู่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK135

(æบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน)

13.25 น. Pถึงสนามบินเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่ ท่าเรือตรอนเคตโต้ เพื่อเดินทางสู่ เกาะเวนิส หรือ เวเนเซีย (Venezia) ดินแดนแสนโรแมนติก เป็นเมืองที่ไม่เหมือนใคร โดยใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน มีสมญานามว่าเป็น “ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก” มีเกาะน้อยใหญ่กว่า 118 เกาะและมีสะพานเชื่อมถึงกันกว่า 400 แห่ง ขึ้นฝั่งที่บริเวณซานมาร์โค ศูนย์กลางของเกาะเวนิส จากนั้นนำท่านเดินชมความงามของเกาะเวนิส ชม สะพานถอนหายใจ ที่มีเรื่องราวน่าสนใจในอดีต เมื่อนักโทษที่เดินออกจากห้องพิพากษาไปสู่คุกจะได้มีโอกาสเห็นแสงสว่างและโลกภายนอกเป็นครั้งสุดท้าย ระหว่างเดินผ่านช่องหน้าต่างที่สะพานนี้ ซึ่งเชื่อมต่อกับ วังดอดจ์ อันเป็นสถานที่พำนักของเจ้าผู้ครองนครเวนิสในอดีต ซึ่งนักโทษชื่อดังที่เคยเดินผ่านสะพานนี้มาเเล้วคือคาสโนว่านั่นเอง นำท่านถ่ายรูปบริเวณ จัตุรัสซานมาร์โค ที่นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า “เป็นห้องนั่งเล่นที่สวยที่สุดในยุโรป” จัตุรัสถูกล้อมรอบด้วยอาเขตอันงดงาม รวมทั้งโบสถ์ซานมาร์โค ที่มีโดมใหญ่ 5 โดมตามแบบศิลปะไบแซนไทน์ จากนั้นอิสระให้ท่านได้มีเวลาเที่ยวชมเกาะอันแสนโรแมนติก เช่น เพื่อชมมนต์เสน่ห์แห่งนครเวนิส, ชมโบสถ์ซานมาร์โค, เลือกซื้อสินค้าของที่ระลึกตามอัธยาศัย อาทิเช่น เครื่องแก้วมูราโน่,หน้ากากเวนิส หรือนั่งจิบกาแฟในร้าน  Cafe Florian ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1720 หลังจากนั้น นำท่านอิสระช้อปปิ้งตามอัธยาศัย

ค่ำ  บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร สมควรแก่เวลานำท่านล่องเรือกลับขึ้นสู่ฝั่งเมสเตร และนำท่านเข้าสู่ที่พัก ã ณ Bedbank Venice Mestre หรือระดับเดียวกัน

วันที่สาม ซีร์มิโอเน่–ทะเลสาบการ์ดา–กรุงมิลาน–มหาวิหารดูโอโม่ (อิตาลี)

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม  หลังจากนั้นหลังจากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองซีร์มิโอเน่ (SIRMIONE)  เป็นเมืองเก่าแก่อายุนับ 2000 ปี ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแหลมยื่นเข้าไปในทะเลสาบการ์ดา (LAKE GARDA) ที่สวยงาม ก่อนศตวรรษที่ 15 อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองเวนิส เพราะสมัยนั้นเมืองต่างๆ ในประเทศอิตาลียังไม่ได้รวมตัวกันต่างเป็นเอกเทศปกครองกันเองแถมมีการทำสงครามเพื่อแย่งชิงเมือง เลยเป็นเมืองที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน  ที่สำคัญมีหลักฐานและร่องรอยทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคสมัยโรมันทั้งกำแพงเมืองที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันสงคราม ในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีผู้คนที่มีฐานะในยุคสมัยโรมันใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและปัจจุบันก็เป็นเมืองพักผ่อนริมทะเลสาบ นำท่าน ชมทะเลสาบการ์ดา ชมความสวยงามของวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบซี่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่เกิดจากน้ำแข็งละลายจากเทือกเขาแอลป์ ดังนั้นซีร์มิโอเน่ จึงถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบทั้งสองด้าน ถึงแม้ซีร์มิโอเน่จะเป็นแค่เมืองเล็กๆ แต่ก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร หลังจากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองมิลาน หรือ มิลาโน่ มีชื่อเสียงในด้านแฟชั่น ศิลปะ และเครื่องหนัง เป็นเมืองแห่งแฟชั่นสำคัญเมืองหนึ่งของโลก ในลักษณะเดียวกับ นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน “มิลาน”เป็นเมืองหลวงของแคว้นลอมบาร์เดียในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี ชื่อเมืองมิลานมาจากภาษาเซลต์คำว่า MID-LAN มีประชากรประมาณ1,308,500 คน และมีชื่อเสียงเกี่ยวกับประเพณีคริสต์มาสที่เรียกว่า “ปาเนตโตเน” อุตสาหกรรม ผ้าไหม และแหล่งผลิตรถยนต์ อัลฟา โรมีโอ รวมไปถึงสโมสรฟุตบอลอินเตอร์มิลานและสโมสรฟุตบอลเอซีมิลาน,มีภาพวาดเฟรสโก้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง,โรงละครโอเปร่า หลังจากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ปิอาซซ่า เดล ดูโอโม่ (Piazza Del Duomo) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มหาวิหารแห่งเมืองมิลาน หรือที่เรียกว่าดูโอโม่ (DUOMO)ชื่อนี้ไว้ใช้เรียกมหาวิหารประจำเมือง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1386 แล้วเสร็จ 400 กว่าปีหลังจากนั้น ด้านนอกเป็นยอดแหลม 135 ยอด จึงมีชื่อเรียกว่า "มหาวิหารเม่น" มีรูปสลักหินอ่อนจากยุคต่างๆ ประดับอยู่กว่าสามพันรูป บนยอดของมหาวิหารมีรูปปั้นทองขนาด 4 เมตร ของพระแม่มาดอนน่า และบริเวณนั้นยังเป็นศูนย์กลางแหล่งชุมนุมของผู้คนมาทุกยุคสมัย อิสระให้ท่านได้ถ่ายรูปตามอัธยาศัยและช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งมีจำหน่ายมากมายในบริเวณ กัลเลเรีย วิตโตรีโอ เอมานูเอล

ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร นำท่านเข้าสู่ที่พัก ã Klima Hotel Milano Fiere หรือระดับเดียวกัน

 

วันที่สี่ แทสซ์–เซอร์แมท–Gornergrat Bahn-ยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น-แทสซ์ (สวิสฯ)

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองแทสซ์ (Tasch) ตั้งอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศขนาดเล็กที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และตั้งอยู่ในทวีปยุโรปตะวันตก ซึ่งมีเทือกเขาแอลป์ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ใหญ่สุดของทวีปยุโรป เลาะเลียบตามหุบเขา ชมทิวทัศน์สวย อันงดงามตลอดเส้นทางจากนั้น นำท่านเดินทางสู่ เมืองเซอร์แมท (Zermatt) โดยรถไฟซึ่งเป็นเมืองที่ไม่อนุญาตให้รถยนต์วิ่งและเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องว่า ปลอดมลพิษที่ดีของโลกตั้งอยู่บนความสูงกว่า 1,620 เมตร ซึ่ง เป็นที่ตั้งของยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสวิตเซอร์แลนด์ เมืองเซอร์แมทเป็นเมืองเล็กๆ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านก็ได้ เพราะว่ามีประชากรในเมืองไม่ถึง 10,000 คน ทางตอนใต้ของสวิตติดกับชายแดนอิตาลี โดยมี Pennine Alps ซึ่งเป็นส่วนนึงของเทือกเขา Alps เป็นเส้นกั้นระหว่าง 2 ประเทศหากพูดถึง Zermatt ก็ต้องนึกถึงยอดเขาแหลมที่มีลักษณะคล้ายปีรามิด ชื่อว่า Matterhorn ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้ๆ เมือง มีความสูงถึง 4,478 เมตร สามารถมองเห็นได้จากแทบทุกมุมของเมือง ซึ่ง Matterhorn นี้ถือเป็นสัญลักษณที่สำคัญของ Zermatt อิสระอาหารเที่ยงตามอัธยาศัย  หลังจากนั้นนําท่านเดินทางสู่สถานีรถไฟ Gornergrat Bahn เพื่อนำท่านสู่สถานี Gornergrat ให้ท่านได้สัมผัสกับความงดงามของ ยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ที่สูงถึง 4,478 เมตร และได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาที่มีรูปทรงสวยที่สุดของเทือกเขาแอล์ป (Alps) ท่านจะได้ชื่นชมและสัมผัสกับทิวทัศน์ที่สวยงาม ณ จุดสูงที่สุดของยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นบริเวณ ไคลน์แมทเทอร์ฮอร์น (Klein Matterhorn) ชมถ้ำน้ำแข็งที่อยู่สูงที่สุดในสวิส ถ่ายรูปกับรูปแกะสลักน้ำแข็งที่สวยงาม ให้เวลาท่านสบายๆ กับการบันทึกภาพแสนประทับใจ ถึงเวลาอันสมควรนำท่านเดินทางกลับสู่ เมืองแทสซ์ (Tasch) โดยรถไฟ

ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร เข้าสู่ที่พัก ã ณ Typically Swiss Hotel Tascherhof หรือระดับเดียวกัน

 

วันที่ห้า มองเทรอซ์–ปราสาทซิลยอง–โลซานน์–เบิร์น-นาฬิกาไซ้ท์คล็อคเค่นทรัม (สวิตฯ)

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม จากนำท่านเดินทางสู่ เมืองมองเทรอซ์ (MONTREUX) เมืองที่อยู่ ริมทะเลสาบ เป็นเมืองตากอากาศที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวาที่ได้รับสมญานามว่าเป็น ไข่มุกริเวียร่าแห่งสวิส ชมความสวยงามของทิวทัศน์ บ้านเรือน ริมทะเลสาบ นำท่านถ่ายรูปกับ ปราสาทชิลยอง (ด้านนอก) (Chillon castle) ปราสาทโบราณอายุกว่า 800 ปี สร้างขึ้นบนเกาะหินริมทะเลสาบเจนีวา นำท่านเดินทางสู่ เมืองโลซานน์ นำท่านชม เมืองโลซานน์ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งเหนือของทะเลสาบเจนีวา เมืองโลซานน์นับได้ว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์โดยธรรมชาติมากที่สุดเมืองหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ในสมัยที่ชาวโรมันมาตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณริมฝั่งทะเลสาบที่นี่ เนื่องจากเมืองโลซานน์ตั้งอยู่บนเนินเขาริมฝั่งทะเลสาบเจนีวา จึงมีความสวยงามโดยธรรมชาติ ทิวทัศน์ที่สวยงาม และอากาศ ที่ปราศจากมลพิษ จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาพักผ่อนตากอากาศที่นี่ เมืองนี้ยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญสำหรับชาวไทยเนื่องจากเป็นเมืองที่เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จย่า ผ่านชม สำนักงานโอลิมปิกสากล และศาลาไทย ที่รัฐบาลไทยได้ร่วมกันก่อสร้างให้เมืองโลซานน์ ในวโรกาสเฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปีและเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-สวิสฯ ครบ 75 ปี

กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ กรุงเบิร์น เมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมืองโบราณเก่าแก่สร้างขึ้นเมื่อ 800 ปีที่แล้ว โดยมีแม่น้ำอาเร่ (Aare) ล้อมรอบตัวเมือง เสมือนเป็นป้อมปราการทางธรรมชาติไว้ 3 ด้าน คือ ทางด้านทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก ส่วนทิศตะวันตกชาวเมืองได้สร้างกำแพง และสะพานข้ามที่สามารถชักขึ้นลงได้ นำท่านเที่ยวชมสถานที่สำคัญต่างๆในกรุงเบิร์นซึ่งได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี ค.ศ. 1863 นอกจากนี้เบิร์น  ยังถูกจัดอันดับอยู่ใน 1 ใน 10 ของเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของโลกในปี ค.ศ. 2010 นำท่านชม บ่อหมีสีน้ำตาล สัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบิร์น นำท่านชม มาร์กาสเซ ย่านเมืองเก่า ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านดอกไม้และบูติค เป็นย่านที่ปลอดรถยนต์ จึงเหมาะกับการเดินเที่ยวชมอาคารเก่า อายุ 200-300 ปี นำท่านลัดเลาะชม ถนนจุงเคอร์นกาสเซ ถนนที่มีระดับสูงสุดของเมืองนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยร้านภาพวาดและร้านขายของเก่าในอาคารโบราณ ชม นาฬิกาไซ้ท์คล็อคเค่นทรัม  อายุ 800 ปี ที่มีโชว์ให้ดูทุกๆชั่วโมงในการตีบอกเวลาแต่ละครั้ง หอนาฬิกานี้ ในช่วงปี ค.ศ. 1191-1256 ใช้เป็นประตูเมืองแห่งแรก ภายหลังได้ดัดแปลงไซ้ท์คล็อคเค่นทรัม ให้กลายมาเป็นหอนาฬิกา พร้อมติดตั้งนาฬิกาดาราศาสตร์เข้าไป จากนั้นอิสระให้ท่านเดินเล่นและเก็บภาพตามอัธยาศัยหรือจะเลือกช้อปปิ้งซื้อสินค้าแบรนด์เนมและซื้อของที่ระลึก

ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร เข้าสู่ที่พัก ã ณ Mercure Plaza Biel หรือระดับเดียวกัน

วันที่หก ลูเซิร์น-รูปแกะสลักสิงโตบนหน้าผาหิน-สะพานไม้ชาเปล-สนามบินซูริค (เยอรมัน-สวิสฯ)

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เดินทางสู่เมืองลูเซิร์น (Lucerne) อดีตหัวเมืองโบราณของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นดินแดนที่ได้รับสมญานามว่าหลังคาแห่งทวีปยุโรป (The roof of Europe) เพราะนอกจากจะมีเทือกเขาสูงเสียดฟ้าอย่างเทือกเขาแอลป์ แล้วก็ยังมีภูเขาใหญ่น้อยสลับกับป่าไม้ที่แทรกตัวอยู่ตามเนินเขาและไหล่เขาสลับแซมด้วยดงดอกไม้ป่าและทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม นําท่านถ่ายรูปกับสะพานไม้ชาเปล หรือสะพานวิหาร(Chapel bridge) ซึ่งข้ามแม่นํ้ารอยซ์เป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีอายุหลายร้อยปีเป็นสัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นเลยทีเดียวสะพานวิหารนี้เป็นสะพานที่แข็งแรงมากมุงหลังคาแบบโบราณเชื่อมต่อไปยังป้อมแปดเหลี่ยมกลางนํ้า จั่วแต่ละช่องของสะพานจะมีภาพเขียนเรื่องราวประวัติความเป็นมาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นภาพเขียนเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันสะพานไม้นี้ถูกไฟไหม้เสียหายไปมากต้องบูรณะสร้างขึ้นใหม่เกือบหมด นําท่านชมรูปแกะสลักสิงโตบนหน้าผาหิน เป็นอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ที่หัวของสิงโตจะมีโล่ห์ ซึ่งมีกากบาทสัญลักษณ์ของ สวิตเซอร์แลนด์อยู่ อนุสาวรีย์รูปสิงโตแห่งนี้ออกแบบและแกะสลักโดย ธอร์ วอลเส้น ใช้เวลาแกะสลักอยู่ราว 2 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1819-1821 โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารสวิสฯ ในด้านความกล้าหาญ ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ที่ เสียชีวิตในประเทศฝรั่งเศส ระหว่างการต่อสู้ป้องกันพระราชวังในครั้งปฏิวัติใหญ่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 อิสระอาหารเที่ยงตามอัธยาศัย  จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองซูก เคยเป็นเขตปกครองที่มีรายได้เฉลี่ยน้อยที่สุดแต่ปัจจุบันคือเมืองที่รวยที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีเขตเมืองเก่าที่ก่ตั้งมาตั้งแต่ศตวรรษที่13 อาคารบ้านเรือนยังคงสภาพดั้งเดิมไว้อย่างสวยงามอีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีวิวทะเลสาปที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองซูริค

22.15 น. ออกเดินทางสู่ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK 86 (æบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน)

วันที่เจ็ด ดูไบ-กรุงเทพฯ (ยูเอไทย)

06.25 น. เดินทางถึงเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แวะเปลี่ยนเครื่อง

09.40 น. ออกเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสายการบิน เอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK 372 (æบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน)

18.55 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ

18 มิถุนายน - 8 กรกฏาคม 2563

วันเดินทาง

สายการบินเอมิเรตส์ (Emirates)

สายการบิน

รหัส : Ek028

โปรแกรมทัวร์ : อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ 7 วัน 4 คืน

รายละเอียดโปรแกรม :  เกาะเวนิส กรุงมิลาน มหาวิหารดูโอโม่ เมืองเซอร์แมท กอร์เนอร์กราต เมืองแทสซ์ ปราสาทซิลยอง มองเทรอซ์

โลซาน กรุงเบิร์น ลูเซิร์น เมืองซุก

ราคาเริ่มต้น : 42,900 TH

line-logo.png

ดาวน์โหลดใบสั่งจองโปรแกรมทัวร์

** รายการทัวร์ทางหน้าเว็บไซต์ เป็นการนำเสนอรายการเบื้องต้นเท่านั้น กรุณาติดต่อแผนกเซลล์ เพื่อขอรายการทัวร์ทุกครั้ง

2

1

3

4

6

5

7

วันแรก กรุงเทพฯ (ไทย)

22.00 น. พร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 9 แถว T สายการบินเอมิเรตส์ (EK) เจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวก

วันที่สอง ดูไบ-เวนิส-จัตุรัสซานมาร์โค-มาสเตร (ยูเออี-อิตาลี)

01.15 น. ออกเดินทางสู่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK 385 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน)

04.45 น. ถึงสนามบินเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แวะเปลี่ยนเครื่อง  

09.05 น. เดินทางสู่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK135

(บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน)

13.25 น. Pถึงสนามบินเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่ ท่าเรือตรอนเคตโต้ เพื่อเดินทางสู่ เกาะเวนิส หรือ เวเนเซีย (Venezia) ดินแดนแสนโรแมนติก เป็นเมืองที่ไม่เหมือนใคร โดยใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน มีสมญานามว่าเป็น “ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก” มีเกาะน้อยใหญ่กว่า 118 เกาะและมีสะพานเชื่อมถึงกันกว่า 400 แห่ง ขึ้นฝั่งที่บริเวณซานมาร์โค ศูนย์กลางของเกาะเวนิส จากนั้นนำท่านเดินชมความงามของเกาะเวนิส ชม สะพานถอนหายใจ ที่มีเรื่องราวน่าสนใจในอดีต เมื่อนักโทษที่เดินออกจากห้องพิพากษาไปสู่คุกจะได้มีโอกาสเห็นแสงสว่างและโลกภายนอกเป็นครั้งสุดท้าย ระหว่างเดินผ่านช่องหน้าต่างที่สะพานนี้ ซึ่งเชื่อมต่อกับ วังดอดจ์ อันเป็นสถานที่พำนักของเจ้าผู้ครองนครเวนิสในอดีต ซึ่งนักโทษชื่อดังที่เคยเดินผ่านสะพานนี้มาเเล้วคือคาสโนว่านั่นเอง นำท่านถ่ายรูปบริเวณ จัตุรัสซานมาร์โค ที่นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า “เป็นห้องนั่งเล่นที่สวยที่สุดในยุโรป” จัตุรัสถูกล้อมรอบด้วยอาเขตอันงดงาม รวมทั้งโบสถ์ซานมาร์โค ที่มีโดมใหญ่ 5 โดมตามแบบศิลปะไบแซนไทน์ จากนั้นอิสระให้ท่านได้มีเวลาเที่ยวชมเกาะอันแสนโรแมนติก เช่น เพื่อชมมนต์เสน่ห์แห่งนครเวนิส, ชมโบสถ์ซานมาร์โค, เลือกซื้อสินค้าของที่ระลึกตามอัธยาศัย อาทิเช่น เครื่องแก้วมูราโน่,หน้ากากเวนิส หรือนั่งจิบกาแฟในร้าน  Cafe Florian ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1720 หลังจากนั้น นำท่านอิสระช้อปปิ้งตามอัธยาศัย

ค่ำ  บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร สมควรแก่เวลานำท่านล่องเรือกลับขึ้นสู่ฝั่งเมสเตร และนำท่านเข้าสู่ที่พัก ã ณ Bedbank Venice Mestre หรือระดับเดียวกัน

วันที่สาม ซีร์มิโอเน่–ทะเลสาบการ์ดา–กรุงมิลาน–มหาวิหารดูโอโม่ (อิตาลี)

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม  หลังจากนั้นหลังจากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองซีร์มิโอเน่ (SIRMIONE)  เป็นเมืองเก่าแก่อายุนับ 2000 ปี ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแหลมยื่นเข้าไปในทะเลสาบการ์ดา (LAKE GARDA) ที่สวยงาม ก่อนศตวรรษที่ 15 อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองเวนิส เพราะสมัยนั้นเมืองต่างๆ ในประเทศอิตาลียังไม่ได้รวมตัวกันต่างเป็นเอกเทศปกครองกันเองแถมมีการทำสงครามเพื่อแย่งชิงเมือง เลยเป็นเมืองที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน  ที่สำคัญมีหลักฐานและร่องรอยทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคสมัยโรมันทั้งกำแพงเมืองที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันสงคราม ในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีผู้คนที่มีฐานะในยุคสมัยโรมันใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและปัจจุบันก็เป็นเมืองพักผ่อนริมทะเลสาบ นำท่าน ชมทะเลสาบการ์ดา ชมความสวยงามของวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบซี่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่เกิดจากน้ำแข็งละลายจากเทือกเขาแอลป์ ดังนั้นซีร์มิโอเน่ จึงถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบทั้งสองด้าน ถึงแม้ซีร์มิโอเน่จะเป็นแค่เมืองเล็กๆ แต่ก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร หลังจากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองมิลาน หรือ มิลาโน่ มีชื่อเสียงในด้านแฟชั่น ศิลปะ และเครื่องหนัง เป็นเมืองแห่งแฟชั่นสำคัญเมืองหนึ่งของโลก ในลักษณะเดียวกับ นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน “มิลาน”เป็นเมืองหลวงของแคว้นลอมบาร์เดียในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี ชื่อเมืองมิลานมาจากภาษาเซลต์คำว่า MID-LAN มีประชากรประมาณ1,308,500 คน และมีชื่อเสียงเกี่ยวกับประเพณีคริสต์มาสที่เรียกว่า “ปาเนตโตเน” อุตสาหกรรม ผ้าไหม และแหล่งผลิตรถยนต์ อัลฟา โรมีโอ รวมไปถึงสโมสรฟุตบอลอินเตอร์มิลานและสโมสรฟุตบอลเอซีมิลาน,มีภาพวาดเฟรสโก้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง,โรงละครโอเปร่า หลังจากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ปิอาซซ่า เดล ดูโอโม่ (Piazza Del Duomo) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มหาวิหารแห่งเมืองมิลาน หรือที่เรียกว่าดูโอโม่ (DUOMO)ชื่อนี้ไว้ใช้เรียกมหาวิหารประจำเมือง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1386 แล้วเสร็จ 400 กว่าปีหลังจากนั้น ด้านนอกเป็นยอดแหลม 135 ยอด จึงมีชื่อเรียกว่า "มหาวิหารเม่น" มีรูปสลักหินอ่อนจากยุคต่างๆ ประดับอยู่กว่าสามพันรูป บนยอดของมหาวิหารมีรูปปั้นทองขนาด 4 เมตร ของพระแม่มาดอนน่า และบริเวณนั้นยังเป็นศูนย์กลางแหล่งชุมนุมของผู้คนมาทุกยุคสมัย อิสระให้ท่านได้ถ่ายรูปตามอัธยาศัยและช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งมีจำหน่ายมากมายในบริเวณ กัลเลเรีย วิตโตรีโอ เอมานูเอล

ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร นำท่านเข้าสู่ที่พัก ã Klima Hotel Milano Fiere หรือระดับเดียวกัน

 

วันที่สี่ แทสซ์–เซอร์แมท–Gornergrat Bahn-ยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น-แทสซ์ (สวิสฯ)

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองแทสซ์ (Tasch) ตั้งอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศขนาดเล็กที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และตั้งอยู่ในทวีปยุโรปตะวันตก ซึ่งมีเทือกเขาแอลป์ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ใหญ่สุดของทวีปยุโรป เลาะเลียบตามหุบเขา ชมทิวทัศน์สวย อันงดงามตลอดเส้นทางจากนั้น นำท่านเดินทางสู่ เมืองเซอร์แมท (Zermatt) โดยรถไฟซึ่งเป็นเมืองที่ไม่อนุญาตให้รถยนต์วิ่งและเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องว่า ปลอดมลพิษที่ดีของโลกตั้งอยู่บนความสูงกว่า 1,620 เมตร ซึ่ง เป็นที่ตั้งของยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสวิตเซอร์แลนด์ เมืองเซอร์แมทเป็นเมืองเล็กๆ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านก็ได้ เพราะว่ามีประชากรในเมืองไม่ถึง 10,000 คน ทางตอนใต้ของสวิตติดกับชายแดนอิตาลี โดยมี Pennine Alps ซึ่งเป็นส่วนนึงของเทือกเขา Alps เป็นเส้นกั้นระหว่าง 2 ประเทศหากพูดถึง Zermatt ก็ต้องนึกถึงยอดเขาแหลมที่มีลักษณะคล้ายปีรามิด ชื่อว่า Matterhorn ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้ๆ เมือง มีความสูงถึง 4,478 เมตร สามารถมองเห็นได้จากแทบทุกมุมของเมือง ซึ่ง Matterhorn นี้ถือเป็นสัญลักษณที่สำคัญของ Zermatt อิสระอาหารเที่ยงตามอัธยาศัย  หลังจากนั้นนําท่านเดินทางสู่สถานีรถไฟ

 

Gornergrat Bahn เพื่อนำท่านสู่สถานี Gornergrat ให้ท่านได้สัมผัสกับความงดงามของ ยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ที่สูงถึง 4,478 เมตร และได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาที่มีรูปทรงสวยที่สุดของเทือกเขาแอล์ป (Alps) ท่านจะได้ชื่นชมและสัมผัสกับทิวทัศน์ที่สวยงาม ณ จุดสูงที่สุดของยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นบริเวณ ไคลน์แมทเทอร์ฮอร์น (Klein Matterhorn) ชมถ้ำน้ำแข็งที่อยู่สูงที่สุดในสวิส ถ่ายรูปกับรูปแกะสลักน้ำแข็งที่สวยงาม ให้เวลาท่านสบายๆ กับการบันทึกภาพแสนประทับใจ ถึงเวลาอันสมควรนำท่านเดินทางกลับสู่ เมืองแทสซ์ (Tasch) โดยรถไฟ

ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร เข้าสู่ที่พัก ã ณ Typically Swiss Hotel Tascherhof หรือระดับเดียวกัน

 

วันที่ห้า มองเทรอซ์–ปราสาทซิลยอง–โลซานน์–เบิร์น-นาฬิกาไซ้ท์คล็อคเค่นทรัม (สวิตฯ)

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม จากนำท่านเดินทางสู่ เมืองมองเทรอซ์ (MONTREUX) เมืองที่อยู่ ริมทะเลสาบ เป็นเมืองตากอากาศที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวาที่ได้รับสมญานามว่าเป็น ไข่มุกริเวียร่าแห่งสวิส ชมความสวยงามของทิวทัศน์ บ้านเรือน ริมทะเลสาบ นำท่านถ่ายรูปกับ ปราสาทชิลยอง (ด้านนอก) (Chillon castle) ปราสาทโบราณอายุกว่า 800 ปี สร้างขึ้นบนเกาะหินริมทะเลสาบเจนีวา นำท่านเดินทางสู่ เมืองโลซานน์ นำท่านชม เมืองโลซานน์ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งเหนือของทะเลสาบเจนีวา เมืองโลซานน์นับได้ว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์โดยธรรมชาติมากที่สุดเมืองหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ในสมัยที่ชาวโรมันมาตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณริมฝั่งทะเลสาบที่นี่ เนื่องจากเมืองโลซานน์ตั้งอยู่บนเนินเขาริมฝั่งทะเลสาบเจนีวา จึงมีความสวยงามโดยธรรมชาติ ทิวทัศน์ที่สวยงาม และอากาศ ที่ปราศจากมลพิษ จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาพักผ่อนตากอากาศที่นี่ เมืองนี้ยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญสำหรับชาวไทยเนื่องจากเป็นเมืองที่เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จย่า ผ่านชม สำนักงานโอลิมปิกสากล และศาลาไทย ที่รัฐบาลไทยได้ร่วมกันก่อสร้างให้เมืองโลซานน์ ในวโรกาสเฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปีและเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-สวิสฯ ครบ 75 ปี

กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ กรุงเบิร์น เมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมืองโบราณเก่าแก่สร้างขึ้นเมื่อ 800 ปีที่แล้ว โดยมีแม่น้ำอาเร่ (Aare) ล้อมรอบตัวเมือง เสมือนเป็นป้อมปราการทางธรรมชาติไว้ 3 ด้าน คือ ทางด้านทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก ส่วนทิศตะวันตกชาวเมืองได้สร้างกำแพง และสะพานข้ามที่สามารถชักขึ้นลงได้ นำท่านเที่ยวชมสถานที่สำคัญต่างๆในกรุงเบิร์นซึ่งได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี ค.ศ. 1863 นอกจากนี้เบิร์น  ยังถูกจัดอันดับอยู่ใน 1 ใน 10 ของเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของโลกในปี ค.ศ. 2010 นำท่านชม บ่อหมีสีน้ำตาล สัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบิร์น นำท่านชม มาร์กาสเซ ย่านเมืองเก่า ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านดอกไม้และบูติค เป็นย่านที่ปลอดรถยนต์ จึงเหมาะกับการเดินเที่ยวชมอาคารเก่า อายุ 200-300 ปี นำท่านลัดเลาะชม ถนนจุงเคอร์นกาสเซ ถนนที่มีระดับสูงสุดของเมืองนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยร้านภาพวาดและร้านขายของเก่าในอาคารโบราณ ชม นาฬิกาไซ้ท์คล็อคเค่นทรัม  อายุ 800 ปี ที่มีโชว์ให้ดูทุกๆชั่วโมงในการตีบอกเวลาแต่ละครั้ง หอนาฬิกานี้ ในช่วงปี ค.ศ. 1191-1256 ใช้เป็นประตูเมืองแห่งแรก ภายหลังได้ดัดแปลงไซ้ท์คล็อคเค่นทรัม ให้กลายมาเป็นหอนาฬิกา พร้อมติดตั้งนาฬิกาดาราศาสตร์เข้าไป จากนั้นอิสระให้ท่านเดินเล่นและเก็บภาพตามอัธยาศัยหรือจะเลือกช้อปปิ้งซื้อสินค้าแบรนด์เนมและซื้อของที่ระลึก

ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร เข้าสู่ที่พัก ã ณ Mercure Plaza Biel หรือระดับเดียวกัน

วันที่หก ลูเซิร์น-รูปแกะสลักสิงโตบนหน้าผาหิน-สะพานไม้ชาเปล-สนามบินซูริค (เยอรมัน-สวิสฯ)

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เดินทางสู่เมืองลูเซิร์น (Lucerne) อดีตหัวเมืองโบราณของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นดินแดนที่ได้รับสมญานามว่าหลังคาแห่งทวีปยุโรป (The roof of Europe) เพราะนอกจากจะมีเทือกเขาสูงเสียดฟ้าอย่างเทือกเขาแอลป์ แล้วก็ยังมีภูเขาใหญ่น้อยสลับกับป่าไม้ที่แทรกตัวอยู่ตามเนินเขาและไหล่เขาสลับแซมด้วยดงดอกไม้ป่าและทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม นําท่านถ่ายรูปกับสะพานไม้ชาเปล หรือสะพานวิหาร(Chapel bridge) ซึ่งข้ามแม่นํ้ารอยซ์เป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีอายุหลายร้อยปีเป็นสัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นเลยทีเดียวสะพานวิหารนี้เป็นสะพานที่แข็งแรงมากมุงหลังคาแบบโบราณเชื่อมต่อไปยังป้อมแปดเหลี่ยมกลางนํ้า จั่วแต่ละช่องของสะพานจะมีภาพเขียนเรื่องราวประวัติความเป็นมาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นภาพเขียนเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันสะพานไม้นี้ถูกไฟไหม้เสียหายไปมากต้องบูรณะสร้างขึ้นใหม่

เกือบหมด นําท่านชมรูปแกะสลักสิงโตบนหน้าผาหิน เป็นอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ที่หัวของสิงโตจะมีโล่ห์ ซึ่งมีกากบาทสัญลักษณ์ของ สวิตเซอร์แลนด์อยู่ อนุสาวรีย์รูปสิงโตแห่งนี้ออกแบบและแกะสลักโดย ธอร์ วอลเส้น ใช้เวลาแกะสลักอยู่ราว 2 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1819-1821 โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารสวิสฯ ในด้านความกล้าหาญ ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ที่ เสียชีวิตในประเทศฝรั่งเศส ระหว่างการต่อสู้ป้องกันพระราชวังในครั้งปฏิวัติใหญ่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 อิสระอาหารเที่ยงตามอัธยาศัย  จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองซูก เคยเป็นเขตปกครองที่มีรายได้เฉลี่ยน้อยที่สุดแต่ปัจจุบันคือเมืองที่รวยที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีเขตเมืองเก่าที่ก่ตั้งมาตั้งแต่ศตวรรษที่13 อาคารบ้านเรือนยังคงสภาพดั้งเดิมไว้อย่างสวยงามอีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีวิวทะเลสาปที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองซูริค

22.15 น. ออกเดินทางสู่ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK 86 (æบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน)

วันที่เจ็ด ดูไบ-กรุงเทพฯ (ยูเอไทย)

06.25 น. เดินทางถึงเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แวะเปลี่ยนเครื่อง

09.40 น. ออกเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสายการบิน เอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK 372 (æบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน)

18.55 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ

Venice5.jpg
SirmioneCastle.jpg
ขึ้นgonergratt.jpg
โลซาน.jpg
Lucerne_Wood_Bridge.jpg
bottom of page